ประวัติความเป็นมา
หมู่บ้านมะแนดาแล..
บ้านมะแนดาแลนั้น มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 500 ปี ตามคำบอกเล่า คนผู้เฒ่า ผู้แก่ ในอดีตนั้น
บ้านมะแนดาแล ไม่ได้ชื่อดังเช่นปัจจุบัณนี้ แต่มีชื่อว่า "หมู่บ้านบ่าว"
ซึ่งปัจจุบัณบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านดังกล่าว เป็นบริเวณท้องทุ่งนาไปหมดแล้ว ชาวบ้านเรียกแถวนั้นว่า
(บือแนบ่าว) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ในปัจจุบัณ
ในอดีตนั้น หมู่บ้านบ่าว มีหัวหน้าหมู่บ้านชื่อ ."โต๊ะบ่าว"เป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน โดยมีผู้ชายเป็นกำลังหลักในการดูแลรักษาหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านก็ให้ความเคารพนับถือโต๊ะบ่าว เป็นอย่างยิ่ง
โต๊ะบ่าวก็ปกครองลูกบ้านอยู่อย่างเป็นสุขเรื่อยมา...ซึ่งโต๊ะบ่าวเองมีแต่บุตรธิดาเท่านั้น
อาชีพหลักของชาวบ้าน คือทำนาเป็นอาชีพหลัก...
อยู่มาวันหนึ่ง..มีบุรุษนิรนาม ได้เข้ามาขออาศัยอยู่ในหมู่บ้าน"บ่าว" โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าบุรุษนิรนามนั้นเป็นใครมาจากไหน แต่ด้วยเพราะนิสัยใจคอเป็นผู้มีอัธยาศัยดี ทำให้ชาวบ้าน โดยที่บุรุษนิรนามผู้นั้น ได้มารับจ้างทำงานต่างๆในหมู่บ้านเรื่อยมา และอยู่อย่างมีความสุข โดยอาศัยอยู่ในกระท่อมท้ายหมู่บ้าน"บ่าว"
.... วันหนึ่งมีผู้ไม่หวังดีจากถิ่นอื่น มาท้าประลองโต๊ะบ่าวให้สู้กัน โดยหวังจะยึดหมู่บ้าน"บ่าว"
และจะทำการปกครองแทนโต๊ะบ่าว เพราะหมู่บ้านบ่าว มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก จึงเป็นที่ต้องการของคู่ต่อสู้ การมาท้าประลองในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะออกไปประลองด้วย เพราะเกรงขามในความเก่งกาจของคู่ต่อสู้..
ทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดกลัว กับอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อไม่มีผู้ใดกล้าที่จะออกไปต่อสู้กับศัตรูที่มารุกรานในหมู่บ้านบ่าว
ส่วนโต๊ะบ่าวนั้นก็คิดหนัก เพราะตัวเองก็มีอายุมากแล้วส่วนบุตรก็มีแต่บุตรธิดาเท่านั้น
มิหนำซ้ำ ไม่มีผู้ใดกล้าออกไปต่อสู้ด้วย ทำให้โต๊ะบ่าว เกิดความกลุ้มอกกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ในการที่จะรักษาหมู่บ้านให้อยู่รอดปลอดภัย ...
กล่าวถึงบุรุษนิรนามพอได้ทราบข่าวว่ามีผู้ไม่หวังดีเข้ามาท้าประลอง..แต่ไม่มีใครกล้าออกไปประลอง ก้เลยขออาสาไปประลองแทนโต๊ะบ่าวเพราะด้วยสำนึกในบุญคุณที่ได้มาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
ซึ่งโต๊ะบ่าวก็อนุญาต และให้คำมั่นสัญญาว่า หากการปประลองในครั้งนี้
ถ้าบุรุษนิรนามได้รับชัยชนะ ก็จะยกธิดาให้เป็นภรรยา พร้อมกับจะยกหมู่บ้านให้ปกครองอีกครึ่งหนึ่งด้วย
ฝ่ายบุรุษนิรนามนั้น เมื่อโต๊ะบ่าวอนุญาตให้ไปประลองแล้ว ก้ได้อำลาโต๊ะบ่าว และได้เดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อไปประลองกับคู่ต่อสู้..
สนามประลองในครั้งนั้น ปัจจุบัณคือบริเวร หมู่ที่ 1 บ้านมะกอ จากการประลองการต่อสู้ในครั้งนั้น
บุรุษนิรนามและคู่ต่อสู้ต่างใช้ความรู้ความสามารถของตนที่มีอยู่อย่างสุดความสามรถ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ..จนสุดท้ายบุรุษนิรนามเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะกลับมา สามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ นำความปลาบปลื้มปิติมายังหมู่บ้านบ่าว โดยเฉพาะหัวหน้าหมู่บ้าน ที่ทึ่งในความสามารถของบุรุษนิรนามเป็นอย่างมาก...
โต๊ะบ่าวก็ได้รักษาสัญญา โดยยกธิดาพร้อมยกหมู่บ้านให้ปกครองครึ่งหนึ่ง ด้วยความจำใจ กับสัญญาที่ให้ไว้กับบุรุษนิรนามผู้นี้ บุรุษนิรนามเมื่อได้ธิดาหัวหน้าหมู่บ้านมาเป็นภรรยาก็ได้ย้ายจากกระท่อมท้ายหมู่บ้าน เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านโต๊ะบ่าวเป็นการชั่วคราวก่อนจะขยับขยายหาที่ใหม่..
แต่การเข้ามาอาศัยอยูบ้านโต๊ะบ่าว ของบุรุษนิรนามนั้นก็ทำให้เกิดคำครหาขึ้นมาอีก ว่า "โต๊ะบ่าว"
นั้นได้ลูกเขยทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ส่วนโต๊ะบ่าวเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน บางก็ว่าเป็นเพียงคนที่มารับจ้างทำงานหากินไปวันๆหนึ่ง ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เป็นหลักแหล่ง
ก็ทำให้โต๊ะบ่าวอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง ลืมนึกถึงควาทมอยู่รอดของหมู่บ้าน
ซึ่งเพิ่งพ้นประสพการณ์มา ก็เลยคิดเล่ห์กลอุบาย เพื่อจะไล่ธิดาและลูกเขยไปจากหมู่บ้านบ่าว เพื่อให้ไปหาบุกเบิกหมู่บ้านเอาใหม่ ซึ่งที่จะไปบุกเบิกใหม่นั้นเป็นสถานที่ ที่ไม่มีใครกล้าไป เพราะมีอันตรายมาก โดยที่ใจจริงแล้วโต๊ะบ่าวอยากให้ทั้งคู่เสียชีวิตที่เกิดจากอันตรายของสัตว์ร้ายนานาชนิดมากกว่า
ซึ่งก็ไม่เป็นดั่งที่ท่านหวังไว้ และธิดาของท่านกับบุรุษนิรนามก้ทราบดี แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
ในเมื่อเป็นความต้องการของบิดา..
จากการไปบุกเบิกสร้างหมู่บ้านใหม่นั้น ทำให้ทั้งคู่ต้องออกจากหมู่บ้านบ่าว โดยมีชาวบ้านทะยอย
ตามกันเข้าไปอาศัยอยู่ด้วย และก็ยังมีลูกหลานตามมาอย่างมากมาย
จุดที่ทั้งคู่ตั้งบ้านหลังแรกนั้น ปัจจุบัณคือ"บนถนนหลวงหน้าบ้าน นาย ยะโกะ วายะโยะ"
(แบโกะ อาเนาะเมาะ)
จนกระทั่งวันหนึ่งได้มี ครูสอนสีละ (ศิลปะการต่อสู้ของชาวมลายู)คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงซึ่งนางได้เดินทางมาจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้ทำการสอนสีละ จากหมู่บ้านหนึ่งสู่หมู่บ้านหนึ่ง เรื่อยๆจนได้มา
ถึงหมู่บ้านที่บุรุษนิรนามปกครองอยู่ จากการได้มาสอนสีละที่หมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้ครูที่มาสอนสีละได้รู้ว่า
บุรุษนิรนามที่ปกครองหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือพี่ชายของนาง ที่ได้หนีจากบ้านเกิดเมืองนอนมานานหลายปีแล้ว...และนางก็กำลังตามหาพี่ชายมาตลอด โดยอาศัยความรู้ที่มีมาเป็นครูสอนสีละ ซึ่งนางผู้นี้เดินทางมาจากเมือง "มินังกาบาว แระเทศอินโดนีเซีย"
สาเหตุที่พี่ชายของนางได้หนีมานั้น บ้างก็ว่าแพ้การแข่งสีละ บ้างก็ว่าแพ้การชนควาย ก็เกิดความอับอาย จึงได้หนีจากบ้านเกิดเมืองนอน มิหนำซ้ำเป็นถึงลูกเจ้าเมือง มินังกาบาว ที่ชื่อ "ต่วนบาวก์"
เมื่อนางได้พบกับพี่ชายก็ได้ถามถึงความเป็นอยู่ของพี่ชาย และได้ชักชวนให้พี่ชายกลับเมือง มินังกาบาว แต่ต่วนบาวก์ ก็ได้ตอบปฏิเสธกับน้องสาวไป เพราะตัวต่วนบาวก์เองมีครอบครัวที่จะต้องดูแลและรับผิดชอบ และยังมีลูกบ้านที่ต้องปกปักรักษา ส่วนน้องสาวเมื่อต่วนบาวก์ตอบปฏิเสธมาดังนั้น นางก็อวยพรให้พี่ชายและครอบครัวโชคดี และได้อำลาพี่ชายกับเมืองมินังกาบาว ประเทศอินโดนีเซีย...
ในเวลาต่อมา โต๊ะบ่าวผู้เป็นพ่อตา เมื่อทราบว่าลูกเขยของตน เป็นถึงลูกเจ้าเมือง มินังกาบาว ประเทศอิรโดนีเซีย ก็ทำให้โต๊ะบ่าวยอมรับลูกเขยตัวเองอย่างเต็มปาก และยอมรับความสามารถของ ต่วนบาวก์ เป็นอย่างมาก..
ต่วนบาวก์ก็ได้ปกครองหมู่บ้านอย่างสงบสุ๘เรื่อยมา และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า
"บ้านบือแนดาแล " บือแนดาแลแปลว่า นาใน" ซึ่งตรงกับสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ ที่เป็นนาตั้งในหุบเขาล้อมรอบ ซึ่งปัจจุบัณ เปลี่ยนชื่่อมาเป็น "บ้านมะแนดาแล"
ตามสภาพกาณ์ที่เปลี่ยนแปลงและให้เหมาะสมสำหรับบุตร-ธิดา ของต่วนบาวก์นั้น ไม่ทราบว่ามีกี่คน แต่ที่ผู้เล่าจำได้ตามคำบอกเล่าต่อๆกันมา ก็คือ " วายะ กับ วาโย " แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่า ใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง วายะ กับ วาโย นั้น ปัจจุบัณนั้นก้คือ นามสกุล " วายะโยะ" นั่นเอง
ผู้เขียนพยายามที่จะเรียบเรียงประวัติความเป้นมา ของหมู่บ้าน "มะแนดาแล" ให้ใกล้เคียงที่สุด
โดยได้สอบถามผู้อาวุโสภายในหมู่บ้านที่พออจะเล่าได้ มาบันทึกไว้เป้นอนุสรณ์ ของหมู่บ้าน
หากว่ามีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วย และพร้อมที่จะแก้ไขในสิ่งที่เขียนผิด แลพยินดีที่จะต่อเติม ในส่วนที่ขาดหายไป....
ด้วยสลามและดูอาร์
นาย ดอหะ วายะโยะ..... บอกเล่า
นาย มาหะมะซี วายะโยะ เรียบเรียง
นาย ฮัมดัม วายะโยะ เรียบเรียง
นาย มายเสิด มีทอง.. จัดทำเอกสาร.. โพสต์เผยแพร่ โดย จามร จรมา 6 สค.2557
...................................................................................................................................................................